Reflecting on 2020

ปี 2020 ปีนี้ถึงจะได้เกือบทุกอย่างที่ต้องการ แต่รู้สึกโหวงๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรบางอย่างที่อยากทำอยู่ตลอดเวลา เหมือนขาดอะไรไป

3 เดือนแรกของปี เราจำได้ว่าเป็นช่วงที่เครียดที่สุดของชีวิต เพราะตอนนั้นเตรียมสัมภาษณ์ coding interview บวกกับเตรียมค่าย YCC หลายเรื่อง และเรื่องจูนอีก จำได้ว่าตอนนั้นเครียดแบบเป็นบ้า แบบไม่เอาแล้ว อยากออกมาทำอะไรที่อยากทำ มีดราม่าออนไลน์จนปิด FB ไปประมาณห้าเดือน

เดือนเมษา - พฤษภา จำได้ว่าเป็นช่วงที่เราได้พักเต็มที่ตลอดรอบสิบกว่าเดือน เพราะค่ายเลื่อนจากโควิด และ OmniVirt ก็ถูก FB ซื้อไป ช่วงนั้นลอง pilot โปรเจค Launch a Month ที่อยากทำ รู้สึกว่ามันสนุกมากๆ ชอบฟีลลิ่งที่ได้สอนคน ได้ mentor คนให้สร้างนู่นนี่ แต่ตอนนั้นเริ่ม blank ว่าจะสเกลยังไงต่อ

เดือนมิถุนายน ริฟฟี่ Phumrapee ชวนเราเข้า BRIKL ตอนแรกก็คิดว่าลองมาทำงานเพื่อจะได้กระตุ้นตัวเองให้มี change of pace แล้วจะได้อยากกลับมาทำโปรเจคตัวเองต่อ ตอนนั้นก็ part time ไป แต่กลายเป็นว่าชอบบรรยากาศตอนทำ BRIKL มากกว่า

จำได้ว่ามีช่วยแก๊ง spaceth ทำโปรเจค MESSE ด้วย เขียนโค้ดอัดวิดิโอการทดลอง ได้เข้าไปในห้อง clean room แปลกดี

เดือนกรกฎาคมก็ย้ายเข้ามาอยู่คอนโดถาวร คุณภาพชีวิตดีขึ้นเยอะมาก มีห้องที่ cozy มากๆ เหมือนอยู่โรงแรม ได้อยู่เป็น safe zone ของเรา อยู่สบายจนไม่ค่อยอยากออกไปไหน

เดือนสิงหาคมก็ full time ที่ BRIKL ต่อ ได้รับ offer ให้มาลองเป็น Developer Advocate คู่กับ Software Engineer เพราะเค้าชอบสกิลการสื่อสาร บวกกับทำด้าน community มาเรื่อยๆ ทั้งทอล์คทั้งจัดงาน ก็เลยได้ทำคู่กันเลย โค้ดเยอะเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพูดทอล์ค TypeScript ที่ Prisma กับเตรียมจัดงาน

เดือนตุลาคมก็บ้าพลัง จัดงาน Event ไปสองงานติด คือ BKK.JS#9คู่กับ Hacktoberfest Thailand รู้สึกว่าตัวเอง delegate งานเก่งขึ้น ดีใจที่ได้คนเจ๋งๆ มาช่วยจัด แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองแพลนไม่ดีพอ

เดือนพฤศจิกาคม - ธันวาคมก็มีทอล์คไปสามที่ ได้รับ offer role ใหม่ เป็น Platform Architect คู่กับ Developer Advocate ต่อไปก็จะได้ Mentor คนมากขึ้น ตัดสินใจเรื่อง Product และ Architecture มากขึ้น น่าจะได้โค้ดงานน้อยลง ไปโค้ดโปรเจคส่วนตัวมากขึ้น

สัปดาห์นี้ใช้เวลากับการทำ financial & tax planning สำหรับปีหน้า ด้วยเงินที่เยอะขึ้น (ใช้ YNAB) และเซ็ตอัพ personal branding ไว้ใช้ต่อ เริ่มวาง personal themes สำหรับปีหน้า นอกจากนั้นก็เคลียร์เกม breath of the wild (ตี Ganon) และเล่น age of calamity ต่อ

เป็นปีที่เรียกได้ว่า "stable" แต่ไม่ได้กระตุกจิตกระชากใจแบบที่คาดหวังไว้

เรื่องที่เด่นที่สุดปีนี้คงเป็นเรื่องงาน เพราะว่าได้มาอยู่ในทีมที่ใหญ่ขึ้น ได้ทำงานที่โคตร personalized ตามความต้องการส่วนตัว (เพิ่ม community, architecture, product) -- ปีนี้ feedback เรื่องงาน positive สุดๆ และปีหน้าน่าจะสนุกขึ้นอีก เป็นไปตามที่เราต้องการเลย

เรื่องที่ดีสุดๆ อีกเรื่องคือเรื่องความรัก เราเป็นแฟนกับจูน Nanmanas มาเกิน 1 ปีแล้ว แล้วมันทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ สุขภาพจิตดีขึ้น สภาพแวดล้อมดีขึ้น เวลาเครียดหรือเหงาๆ ก็มีจูนมาอยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้ผ่านปีนี้ไปได้สบาย ถึงจะมีงอนกันอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ

ด้วยความที่งานดี เงินดี แฟนดี ปีนี้เลยถือว่าโดยรวมไม่มีปัญหาเลย สุขภาพจิตก็ดีกว่าปีที่แล้วหลายร้อยเท่า มันรู้สึก accomplished แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่สุด

ปีนี้ไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่ทรมาณร่างกายแบบปีก่อนๆ มีเวลาพักเล่นเกม พักอยู่กับแฟนเยอะขึ้น


สิ่งที่เสียไปในปีนี้ คือไม่ได้มี big project แบบปีที่แล้ว (2019) มี YCC1 มาเป็นจุดเปลี่ยนตอนเดือนมีนาคม ซึ่งก็ผ่านมา 20 เดือนแล้ว และ YCC2 ต้องเลื่อนไปหลายครั้งเพราะโควิด อายุเปลี่ยนจาก 17 ไปเป็น 19 ในชั่วอึดใจ

และ launch a month ที่ kickoff ไปตอนต้นปีก็ไม่ได้ทำต่อเพราะเข้า BRIKL และปีนี้พูดทอล์คกับจัดงานไปไม่เยอะมากเพราะโควิด ทำให้แอบรู้สึกเฟลพอสมควร

รู้สึกว่าพอมันไม่มี big project แบบที่มีมาในปีก่อนๆ มันเลยรู้สึกโหวงๆ เพราะเราชินกับการที่ต้องมาแพลนงาน ทำนู่นนี่อยู่ตลอด

ปีนี้การทอล์คกลายเป็น second nature ของเราไปแล้ว ทอล์คตอน GraphQL Bangkok, Prisma และที่ไทวัสดุทั้งสามอันเตรียมไม่กี่ชั่วโมง ไม่มีซ้อม แต่ออกมาดีมากๆ และ very satisfying ทุกอัน

(แต่อันอื่นที่ไม่ได้มี core idea แน่นในหัว ตอนพูดก็เลยบ้งไป)

และการจัดงานก็กลายเป็น second nature เหมือนกัน ถึง BKK.JS#9จะเป็น meetup แรกที่จัด และ Hacktoberfest จะเป็น (non-hackathon) tech event แรกที่จัด แต่รู้สึกว่า methodology เรานิ่งขึ้น delegate งานเก่งขึ้น จัดการทีมเก่งขึ้นมาก

แต่ด้วยความที่ทุกอย่างมันเป็น second nature กลายเป็น yet another instance ไปหมด มันเลยไม่ได้รู้สึกสนุกเหมือนตอนที่จัด stupid hackathon ครั้งแรก หรือ YCC ครั้งแรก

แน่นอน เรื่องที่แย่ที่สุดในปีนี้คงเป็นเรื่องการเมือง และความ toxic ของเราที่สะท้อนออกมาตลอดหลายเดือน เปิดอะไรก็เห็นแต่ข่าวแย่ๆ เห็นความเลวร้ายของคนในประเทศ ก็รู้สึกหมดหวังในประเทศนี้อย่างสมบูรณ์

และด้วยความรู้สึกนั้น มันรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ค่อยมีอิมแพค เหมือนไฟด้านนี้เรามอดดับไปแล้ว และยังจุดมันไม่ติด ยัง burnt out อยู่

ลึกๆ แล้ว ความฝันที่อยากสร้าง product ขึ้นมาแก้ปัญหาที่ตัวเองสนใจ และอยากสร้าง community ขึ้นมาสร้าง foundation ให้น้องๆ รุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหา ได้มีพื้นที่ในการแก้ปัญหาและสร้างสิ่งที่ตัวเองสนใจ สร้าง product เองได้

ความฝันตั้งแต่ 4 ปีก่อนก็ยังฝันเหมือนเดิม เรายังพยายามทวงสัญญาตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จในปีนี้

เราอยากจะหา fresh take สำหรับสองเรื่องนี้ในปีหน้า มันอาจเป็นปีที่เรากลับมาทำตามสัญญาตัวเองกับ 2 เรื่องนี้ก็ได้ เพราะเราเชื่อว่าก็ทำตาม curiosity ของตัวเอง เดี๋ยวมันก็เป็นไปตามของมัน

"Build small things" และ "Learn in Public" กลายเป็น 2 key themes/principles ของปีหน้า ด้วยความที่รู้สึกว่าตัวเองรู้ไม่พอ ความที่อยากเรียนไปพร้อมกับทุกคน ความอยากสร้างอะไรตามใจชอบ ไม่ปล่อยใหัมันเป็นแค่ไอเดีย อยากกระโดดเข้ามา contribute to open source สักที

ง่ายสุดคือเริ่มเขียน first blog post และเราเชื่อว่าที่เหลือจะตามมา เพราะ FB post ก็เขียนทุกวัน จริงๆ ก็แค่เปลี่ยนที่เขียน และเปลี่ยนภาษาเป็นอังกฤษ (ที่เราเขียนและพูดถนัดกว่าภาษาไทย)

อีกอย่างคือ ปีหน้าอยากเจอเพื่อนที่รู้จักอยู่แล้วให้มากขึ้น อยากรู้จักเพื่อนใหม่ให้มากขึ้น อยากเจอคนเก่งๆ เจ๋งๆ และทำอะไรร่วมกันมากขึ้น

อยากเช่าบ้านพักตากอากาศบรรยากาศสบายๆ แล้วชวนเพื่อนๆ มานั่งเขียนโค้ด ทำโปรเจคของตัวเองด้วยกัน เหมือนเป็นบ้านเล็กๆ ของ creators/hackers ตกเย็นก็ไปวิ่งเล่น ว่ายน้ำ ดูดาวด้วยกัน

ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่กระตุกจิตกระชากใจขึ้น

ปีนี้เก่งมากแล้ว ก็ทำต่อไป ปีหน้าอยากลอง explore ให้มากขึ้น อยากให้เรายังสนุกอยู่ หา fresh take ให้ไม่เบื่อ

อยากให้ทุกอย่างที่ทำมันรู้สึกคุ้ม รู้สึก impactful รู้สึกว่าไม่ได้ทำไปแล้วก็จบ แต่ทำแล้วมันคุ้ม

ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่สนุกสำหรับทุกคนนะครับ

#article#memo#reflection