22

Published on July 11, 2023 at 16:41

วันนี้เราอายุ 22 แล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราได้ผลักตัวเองให้ถึงขีดจำกัด เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ทำได้ และสิ่งที่เราอยากจะทำ จนถึงวันนึงที่ได้โอกาสที่จะ take the leap of faith เพื่อความฝันที่คิดมาตลอด

แน่นอนว่า leap of faith ทุกครั้งมาพร้อมกับความไม่แน่นอน จนเราก็มีช่วงที่พังทลายไปสักพักนึง แต่หลังจากนั้นเราก็ได้พักฟื้น รับรู้ ปล่อยวาง กลับมาใช้ชีวิตที่สมดุลระหว่างความเป็นจริงและความฝัน กลับมาสนุกและมีความสุขขึ้น ไม่จริงจังกับความสมมุติมากเกินไป

การได้เห็น emergence through the flow of time ทำให้เรารู้สึกกลัวน้อยลง และเห็นสิ่งที่เราฝันเกิดขึ้นมาทีละนิด

จำได้ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน เราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุด อยากจะเขียนโค้ดเก่งที่สุด แต่ตอนนี้เราก็ชักสนุกกับเรื่องอื่นๆ ที่หลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ มองย้อนกลับไปก็แปลกดีเหมือนกัน

สุดท้าย ภาวะที่มีที่สิ้นสุดของเวลา (finitude of time) ก็เตือนใจให้เราปฎิเสธสิ่งที่เราไม่ต้องการ ให้ชัดเจนกับสิ่งที่เราอยากทำมากขึ้น รักษาสมดุลระหว่าง exploration และ exploitation มากขึ้น แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ชอบเขียนโปรแกรมเหมือนเดิมอยู่ดี

ย้อนกลับไปเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จำได้ว่าเราย้ายตำแหน่งจาก Director of Product มาเป็น VP of Engineering มองย้อนกลับไปก็ไม่ง่ายเลยที่จะให้เด็กอายุ 21 ที่ยังไม่ได้มีชั่วโมงบินสูงอะไร ไม่กล้าที่จะเถียงกับคน แต่เราก็พยายาม do my best ในทุกวัน และรู้สึกได้เลยว่าตัวเองโตขึ้นจากตอนเข้าบริษัทเมื่อสามปีก่อน

ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง เราก็ยังดีใจนะที่เราได้ทำ การได้ลองทำงานบริหารทำให้เราได้ the most important lessons learned ในหลายๆ ด้าน ทั้งผลที่จะเกิดขึ้นกับการ compromise แทนที่จะ stand your ground ในเวลาที่จำเป็น

อีกด้านคือการบริหารพลังงานของตัวเอง เมื่อการเลือกที่จะทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำสำคัญกว่าสิ่งที่ต้องทำ คิดว่าหนังสือ four thousand weeks พูดประเด็นนี้ไว้ดีมากๆ ถ้าไม่ได้เจอประสบการณ์จริงก็จะไม่ได้ hard lessons แบบนี้

ช่วงที่เราเป็น VP ตอนนั้นทำงานหนักพอสมควร ด้วยความที่บริษัทมันกำลังสเกลถึงจุด 120 คน ทั้งประชุม เขียนเอกสาร วางแผน คุยกับทีม ซึ่งเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานด้วยทุกคนน่ารักมาก แต่ก็ทำให้ time management ในชีวิตเราพังไปพอสมควร โชคดีที่บังคับตัวเองให้เข้ายิม ไปเทรนยิมได้

จำได้ว่าตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้วมีจัดทั้ง The Stupid Hackathon 6 ที่ปั๊บเป็น Host แต่ป่วยหนักเลยต้องให้เรารันงานแทน, ไสยศาสตร์ night ที่ปั๊บจัด, Code Golf Party ที่พี่ไทจัด, BKK.JS 17 และ Hacktoberfest Thailand

ด้วยความที่งานเราเยอะ เลยแทบไม่ได้โฟกัสอะไรกับ Creatorsgarten เลย จำได้ว่าบอกปั๊บไปตรงๆ ว่ามันคือ trade-off ของการเลือกที่จะทำงาน

แต่ตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัท ตอนนั้นเราเลยได้โอกาสที่จะ reconsider สิ่งที่ตัวเองทำ และตัดสินใจพักจากงานเพื่อมาตามความฝันที่เราเขียนขึ้นหลายๆ ครั้ง

ไม่ว่าจะเป็น Creatorsgarten, Hacker House, Creator's Playground, Launch a Month และหลายๆ passion projects ที่เราจินตนาการมา 5 ปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ทุ่มพลังกับมัน

ตอนนั้นหลังจากจัดงาน data driven love 2 เราแวะไปหาพี่กุล Kulachat Kena ครั้งที่สองที่ภูผาม่าน ได้อยู่กับตัวเอง ได้นั่งวาดรูปถึง one of my visions/missions ว่าช่วงนี้ในชีวิตเราอยากจะทำอะไร เล่าให้พี่กุลฟังด้วย โทรไปคุยกับเพื่อนๆ ว่าเราอยากจะทำอะไร

หลังจากนั้นเราต้องบินไปต่างประเทศเรื่องงานกับพี่จีโน่ Peerarust Siriamphan ช่วงนั้นพี่จีโน่พาไปเที่ยวด้วย แต่ก็ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง นั่งเขียน นั่งวาดรูปสิ่งที่ตัวเองอยากทำอยู่นาน พร้อมกับเตรียมงาน Bangkok Open Source ที่ประชุมงานกันมาตลอด 5 เดือน

ตอนที่เราจัด Bangkok Open Source เป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลย เป็น long-term project ที่สองที่เราจัดเลย งานรอบนี้ใช้พลังเยอะมาก ใช้เวลารันงาน 2 เดือน ที่มี 3 workshops และ 2-day hackathon

ส่วนตัวภูมิใจกับมันนะ รู้สึกว่าดีใจมากๆ ที่ได้เห็นโปรเจคเจ๋งๆ ออกมา ได้เจอกับพี่ Natchalaikorn, Pavit, พี่ศานนท์ Sanon และเพื่อนๆ อีกหลายคน

หลังจากนั้นพี่โบนัสก็ชวนกันไปประชุมกับกทม. และพี่ศักดิ์ จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจค Hack-go-th ขึ้นมา พี่โท Paiboon ก็ชวนเข้ามาเป็นกรรมการสมาคมโปรแกรมเมอร์ในช่วงนั้นด้วย

หลังจากนั้นพี่ Mishari ก็ชวนไปสิงคโปร์ ได้ไปเจอคนเจ๋งๆ ที่ทำ open source จากหลายประเทศมาก ได้ลองพูดทอล์คต่างประเทศครั้งที่สอง รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเยอะเลย

หลังจากนั้นเราได้คุยกับคนเจ๋งๆ อย่างพ่อโจ้ HomeSchool Network, อาจารย์จูน ESIC Lab, พี่กุล เทคไทบ้าน จนได้ไอเดียโปรเจคที่กำลังจะเกิดขึ้นมาหลายตัว

นอกจากนั้นได้นัดคุยกับทีม Muse Foundation กับ Cleverse มาเซ็ตอัพพื้นที่ของ Garden Zero ที่จะเปิดให้เป็น space ให้คนใน community ของ Creatorsgarten และกลุ่มอื่นๆ มาสร้างของกัน

อีก highlight คือได้เรียนคลาส Reasoning with Discrete Maths ของอาจารย์เดฟ กับ Humanistic Architecture ของพี่คริส เป็นสองคลาสที่รู้สึกว่า profound และปรับวิธีคิด วิธี approach ปัญหาของเราได้เยอะมาก

สัปดาห์ที่ผ่านมาเราไป retreat ที่ขอนแก่นมา ได้ reset compass ของตัวเองระดับนึง ได้พักอ่านหนังสือห้าหกเล่ม อยู่กับธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ เสียงนก กองฟาง เสียงของเปลวไฟในยามค่ำคืน อยู่กับแมลง ใบหญ้า เสียงฝนตก ฝูงนก ฝูงค้างคาว

บทเรียนที่สำคัญที่สุดอย่างนึงจากการไปขอนแก่น คือการที่เราสามารถรับรู้ (perceive) สิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องไปคิด หรือไป take action กับมัน โลกนี้มีคนที่ไม่ได้น่ารักสำหรับเราอยู่ แทนที่จะใส่ใจกับมัน เราสามารถรับรู้เหมือนกับที่เรารับรู้ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ ภูเขา เราไม่ได้ดีใจหรือโกรธกับมัน เราไม่ได้มองข้ามมัน เราแค่รับรู้มันแล้วเดินไปต่อ

เดือนที่ผ่านมาคือเราพยายามไม่เปิด social media feed เลย ถ้าเปิดแล้วเจอโพสต์ที่ทำให้เราอารมณ์เสีย ก็ลบ app ทิ้งไปเลย รู้สึกว่าพอเรา get rid of distractions ทำให้เราโฟกัสได้มากขึ้น อยู่กับตัวเองมากขึ้น

ล่าสุดธี Panithi กับวิชญ์ Wit ก็เพิ่งจัด Stupid Hackathon 7 ไป แต่ละปีที่เราไปจะมีความรู้สึกต่างกัน ปีนี้น้องๆ ในทีมงานเก่งมาก จนเราไปช่วยเป็นเบ๊ ช่วยวิ่งนู่นนี่ ไม่ต้อง lead งานเองแล้ว ได้เจอกับน้องๆ เพื่อนๆ คนใหม่ที่จะเข้ามาทำแต่ละโปรเจคด้วย

รู้สึกว่าทุกปีที่ได้ไป stupid hackathon ก็รู้สึกถึง flow ของเวลาที่มันไหลไปเหมือนกัน เมื่อรู้สึกตัวอีกที เจ็ดปีก็ผ่านไปเหมือนโกหก เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ กระพริบตาเดียวเราก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ดีใจนะ ที่เรายังคงความเป็นเด็กได้เหมือนเดิม พร้อมกับความเป็นผู้ใหญ่ที่เข้ามาผสานกัน ถึงมันจะยังไม่ได้ลงตัวมากก็เถอะ แต่ความไม่สมบูรณ์ก็ทำให้เราเป็นตัวเรา

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา รู้สึกว่า Creatorsgarten​ โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาก มันเริ่มกลายเป็น collective of people ที่รวมคนที่สนใจเรื่องต่างๆ และอยากลองเรื่องใหม่ๆ อยากมาสร้างอะไรด้วยกัน ภาพที่เคยคิดไว้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ค่อยๆ เกิดขึ้นมาทุกๆ สัปดาห์

เมื่อวานมีน้องๆ เพื่อนๆ มา lead โปรเจคกันหลายคนมาก มีทั้ง Khimjare (how to learn almost anything 2), Danthai & Ami (maths at sundown), Pat (creative coding algorave), Chun (how to build an MVP series), Natchalaikorn (Hack-go-th Initiative) และอื่นๆ

นอกจากนี้ เรากำลังมี open-source products เจ๋งๆ อย่าง Contentsgarten / ClusterWiki Platform ไปจนถึง Hack Modular Design System, Garden Gate, LiveKit ที่ต้องขอบคุณพี่ไท Thai ริฟฟี่ Phumrapee ปั๊บ และเพื่อนๆ ทำกันมาหลายเดือน และกำลังจะได้เอาไปใช้หลายองค์กรเลย

ขอบคุณทุกคนที่เคยจัดงานกับเรา เคยทำโปรเจคกับเรามา ทุกครั้งที่ได้จัดงานด้วยกันรู้สึกได้เลยว่าทุกคนพลังงานล้นกันมาก ได้เห็นหลายๆ คนโตขึ้นไปพร้อมกันด้วย ทุกคนเก่งมาก ขอบคุณในโพสต์นี้คงขอบคุณไม่หมด

ขอบคุณปั๊บ Chayapatr ที่ทำทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่คิดไอเดีย มองภาพใหญ่ ทำกราฟฟิค จัดงาน คุยกับคน จนถึงคอยฟังเราบ่นเวลาที่เรากังวลนู่นนี่ เวลาที่เราอารมณ์เสีย ปั๊บเก่งโคตรๆ มาลุยกันต่อไปนะ

ขอบคุณทุกคนที่อยู่รอบข้างเรา ทั้งจูน Nanmanas ที่อยู่ด้วยกัน ซัพพอร์ตเราในวันที่เราพัง ทั้งพ่อแม่เราที่คอยซัพพอร์ตมาตลอด ทั้งกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยังไม่รำคาญเราและยังอยู่ด้วยกัน

ปีนี้เราจะใจดีกับตัวเองมากขึ้น ให้อภัยตัวเองมากขึ้น แต่ก็ say no มากขึ้นเพื่อให้ say yes กับสิ่งที่เราโฟกัส และอยากจะทำจริงๆ เรารู้สึกว่าบางทีการเติบโตขึ้นมันคือการปล่อยวางกับความสมมุติ และใจดีกับคนรอบข้าง

อยากจะกลับมาเขียนโค้ด ทำ side projects อยากเขียน blog post / garden notes มากขึ้น อยากพูดทอล์คในต่างประเทศเยอะขึ้น อยากฝึก algorithms และอ่าน fundamentals มากขึ้น จะได้เป็น software engineer ที่เก่งขึ้น และปั้น Creatorsgarten ให้มันโตขึ้นตามที่เราฝันไว้

สุดท้ายเราอาจจะต้องเลือกบางอย่าง พักบางอย่าง แต่การปล่อยวางมันก็ทำให้การตัดสินใจมีความหมาย และการตัดสินใจนั้นทำให้ชีวิตเรามีความหมาย

ขอบคุณทุกคนที่เป็นเพื่อนกับเรามาตลอดนะ ขอบคุณตัวเองที่กล้าตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง

Happy birthday to me 🎂

Reference: Facebook Post on July 11th

#article#memo